ประวัติเจษฎาธิการฮีแลร์
ฟ. ฮีแลร์เป็นศาสนนามของฟรังซัว ดูเวอเนท์ (Franqois Touvenet) ฟ. ย่อมาจากภาษาฝรั่งเศส Frere ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Brother และมีความหมายตรงกับภาษาไทยว่า ภราดา หรือ เจษฎาจารย์
ฟ.ฮีแลร์ เกิดที่ตำบลจำโปเนีย เมืองบัวเตียร์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2423 ในวัยเยาว์ได้รับการศึกษาในโรงเรียนชั้นต้นแถบบ้านเกิด ด้วยเป็นผู้มีอุปนิสัยน้อมนำไปทางพระศาสนาคาทอลิกมาแต่ปฐมวัย ใคร่จะถวายตนเพื่อรับใช้พระผู้เป็นเจ้าเมื่ออายุครบ 12 ปี จึงขออนุญาตบิดามารดาเข้าฝึกในสถาน อบรมเป็นภราดาคณะเจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียล ที่เมืองซังลอลังต์ ซิวแซฟวร์ ในมณฑลวังเด
หลังจากร่ำเรียนวิชาทางลัทธิศาสนาวิชาครูและวิชาอื่นๆ จนสำเร็จแล้ว จึงประกาศอุทิศตนถวายพระเจ้า ปฏิบัติข้อผูกมัดตนของคณะ
เจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียล เป็นภราดาเมื่ออายุ 18 ปี และเมื่อได้ถวายตัวเป็นภราดาแล้ว เจษฎาจารย์ฮีแลร์ก็ได้วัตรปฏิบัติต่างๆ อย่างเคร่งครัด สมกับเป็นผู้ทรงศีลยังปรัชญาชีวิตดำเนินในฐานะนักพรตที่รักความสันโดษ และพยายามทำตนเป็นแบบอย่าง สมกับความเป็นครูทุกประการ
เมื่อคณะของบรรดาเจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียล ต้องรับผิดชอบดูแลโรงเรียนอัสสัมชัญในประเทศไทยต่อจากบาทหลวงกอลมเบต์นั้น ฟ.ฮีแลร์ ผู้ซึ่งมีวัยเพียง 20 ปี นับเป็นคนหนุ่มที่สุดในคณะส่วนหัวหน้าคณะในครั้งนั้นคือ เจษฎาจารย์มาแตง เดอร์ตูร์ส
เมื่อแรกเข้ามาเมืองไทย เจษฎาจารย์ฮีแลร์ เห็นจะหนักใจมากกว่าผู้อื่นในคณะ ด้วยอายุที่ยังน้อย และภาษาอังกฤษก็ยังไม่คล่อง ภาษาไทยยิ่งไม่ถนัด ยิ่งไปกว่านั้นตรงที่บาทหลวงกอลมเบต์ต้องรักษาตัวที่ฝรั่งเศส ยังกลับมากรุงเทพฯ ไม่ได้ แต่ด้วยความตั้งใจจริง ท่านจึงพยายามฟังเด็กไทยท่อง “มูลบทบรรพกิจ” อยู่เป็นประจำ ถึงกับหลงใหลจังหวะจะโคนและลีลาแห่งภาษาไทย จึงมุมานะเรียนรู้ภาษาไทยจนถึงแต่งตำราสอนเด็กได้ และตำราที่ว่านั้นก็คือ “ดรุณศึกษา” นั่นเอง
ในเรื่องของการสร้างตึกเพื่อขยายสถานศึกษานั้น ท่านพบอุปสรรคนานัปการ โดยเฉพาะในช่วงขัดสนเงินทอง จะเรี่ยไรค่อนข้างยากลำบาก อาศัยวิธีกู้เงินจากผู้ปกครองนักเรียน คือ ใครอุทิศเงินให้โรงเรียนหนึ่งหมื่นบาท บุตรจะเรียนได้โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนเลย จนกว่าจะจบหลักสูตรวิธีการเช่นนี้ ทำให้มีการครหานินทาว่าโรงเรียนอัสสัมชัญเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะอยู่ในสมัยนั้นนานทีเดียว
ในช่วงหลังสงครามโลก ชีวิตการงานของท่านดูจะไม่เหมือนเดิม ด้วยชีวิตที่รีบเร่งเกินไป เมืองไทยเปลี่ยนไปเร็วนักสำหรับท่าน คนโกงมากขึ้น คนไม่รับผิดชอบต่อการงานมากขึ้น ท่านเริ่มรู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่าย จนกระทั่งตอนเห็นพิธีเปิดตึกสุวรรณสมโภช มีทั้งผู้ใหญ่และเพื่อนเก่า เช่น เจษฎาจารย์ไมเกิล ได้เดินทางจากประเทศอินเดียมาร่วมงานด้วย ท่านจึงรู้สึกว่า “คุ้มเหนื่อย”
หลังจากนั้นไม่ถึงปี ท่านก็ป่วยเป็นโรคเบาหวานถึงกับต้องส่งโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ เข้าใจกันว่าท่านคงจะไม่ฟื้นแล้ว เอกอัครราชฑูตฝรั่งเศสได้ให้เกียรติมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ลียองดอนเนอร์ให้ท่าน
ระหว่างที่เป็นโรคชรามีอาการหลงลืมและมีอาการน่าเป็นห่วงหลายครั้ง แต่ท่านก็มีอายุมาถึง 87 ปี แล้ววาระสุดท้ายของท่านก็มาถึงเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2511 ตามคำวินิจฉัยของแพทย์ว่า เส้นโลหิตฝอยแตก ศิษยานุศิษยได้เชิญศพมาตั้ง ณ ห้องประชุมตึกสุวรรณสมโภช โดยมีท่านอัครสังฆราช ทำพิธีมหาบูชามิสซา ปลงศพเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ปีเดียวกัน
ฟ.ฮีแลร์ เกิดที่ตำบลจำโปเนีย เมืองบัวเตียร์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2423 ในวัยเยาว์ได้รับการศึกษาในโรงเรียนชั้นต้นแถบบ้านเกิด ด้วยเป็นผู้มีอุปนิสัยน้อมนำไปทางพระศาสนาคาทอลิกมาแต่ปฐมวัย ใคร่จะถวายตนเพื่อรับใช้พระผู้เป็นเจ้าเมื่ออายุครบ 12 ปี จึงขออนุญาตบิดามารดาเข้าฝึกในสถาน อบรมเป็นภราดาคณะเจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียล ที่เมืองซังลอลังต์ ซิวแซฟวร์ ในมณฑลวังเด
หลังจากร่ำเรียนวิชาทางลัทธิศาสนาวิชาครูและวิชาอื่นๆ จนสำเร็จแล้ว จึงประกาศอุทิศตนถวายพระเจ้า ปฏิบัติข้อผูกมัดตนของคณะ

เมื่อคณะของบรรดาเจษฎาจารย์เซนต์คาเบรียล ต้องรับผิดชอบดูแลโรงเรียนอัสสัมชัญในประเทศไทยต่อจากบาทหลวงกอลมเบต์นั้น ฟ.ฮีแลร์ ผู้ซึ่งมีวัยเพียง 20 ปี นับเป็นคนหนุ่มที่สุดในคณะส่วนหัวหน้าคณะในครั้งนั้นคือ เจษฎาจารย์มาแตง เดอร์ตูร์ส
เมื่อแรกเข้ามาเมืองไทย เจษฎาจารย์ฮีแลร์ เห็นจะหนักใจมากกว่าผู้อื่นในคณะ ด้วยอายุที่ยังน้อย และภาษาอังกฤษก็ยังไม่คล่อง ภาษาไทยยิ่งไม่ถนัด ยิ่งไปกว่านั้นตรงที่บาทหลวงกอลมเบต์ต้องรักษาตัวที่ฝรั่งเศส ยังกลับมากรุงเทพฯ ไม่ได้ แต่ด้วยความตั้งใจจริง ท่านจึงพยายามฟังเด็กไทยท่อง “มูลบทบรรพกิจ” อยู่เป็นประจำ ถึงกับหลงใหลจังหวะจะโคนและลีลาแห่งภาษาไทย จึงมุมานะเรียนรู้ภาษาไทยจนถึงแต่งตำราสอนเด็กได้ และตำราที่ว่านั้นก็คือ “ดรุณศึกษา” นั่นเอง
ในเรื่องของการสร้างตึกเพื่อขยายสถานศึกษานั้น ท่านพบอุปสรรคนานัปการ โดยเฉพาะในช่วงขัดสนเงินทอง จะเรี่ยไรค่อนข้างยากลำบาก อาศัยวิธีกู้เงินจากผู้ปกครองนักเรียน คือ ใครอุทิศเงินให้โรงเรียนหนึ่งหมื่นบาท บุตรจะเรียนได้โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนเลย จนกว่าจะจบหลักสูตรวิธีการเช่นนี้ ทำให้มีการครหานินทาว่าโรงเรียนอัสสัมชัญเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะอยู่ในสมัยนั้นนานทีเดียว
ในช่วงหลังสงครามโลก ชีวิตการงานของท่านดูจะไม่เหมือนเดิม ด้วยชีวิตที่รีบเร่งเกินไป เมืองไทยเปลี่ยนไปเร็วนักสำหรับท่าน คนโกงมากขึ้น คนไม่รับผิดชอบต่อการงานมากขึ้น ท่านเริ่มรู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่าย จนกระทั่งตอนเห็นพิธีเปิดตึกสุวรรณสมโภช มีทั้งผู้ใหญ่และเพื่อนเก่า เช่น เจษฎาจารย์ไมเกิล ได้เดินทางจากประเทศอินเดียมาร่วมงานด้วย ท่านจึงรู้สึกว่า “คุ้มเหนื่อย”
หลังจากนั้นไม่ถึงปี ท่านก็ป่วยเป็นโรคเบาหวานถึงกับต้องส่งโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ เข้าใจกันว่าท่านคงจะไม่ฟื้นแล้ว เอกอัครราชฑูตฝรั่งเศสได้ให้เกียรติมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ลียองดอนเนอร์ให้ท่าน
ระหว่างที่เป็นโรคชรามีอาการหลงลืมและมีอาการน่าเป็นห่วงหลายครั้ง แต่ท่านก็มีอายุมาถึง 87 ปี แล้ววาระสุดท้ายของท่านก็มาถึงเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2511 ตามคำวินิจฉัยของแพทย์ว่า เส้นโลหิตฝอยแตก ศิษยานุศิษยได้เชิญศพมาตั้ง ณ ห้องประชุมตึกสุวรรณสมโภช โดยมีท่านอัครสังฆราช ทำพิธีมหาบูชามิสซา ปลงศพเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ปีเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น